อินดิเคเตอร์ที่ดีและสำคัญที่เทรดเดอร์ทุกคนควรรู้

อย่างที่รู้ ๆ กันว่าการเทรดในตลาด Forex นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีเทรดเดอร์มากมายที่สามารถทำกำไรจากการเทรด Forex ได้เรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าพวกเขารู้จักที่จะนำอินดิเคเตอร์ Forex เข้ามาช่วยใช้ในการเทรดนั่นเอง 'อินดิเคเตอร์ Forex ที่ดีที่สุด' คำ ๆ นี้แสดงให้เห็นว่าตลาด Forex นั้นไม่ได้เป็นไปตามทฤษฎีแบบสุ่ม (random walk) เหมือนอย่างที่นักทฤษฎีด้านเศรษฐกิจโต้แย้ง และความคิดที่ว่าตลาดการเงินนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวไปในทิศทางต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลดูจะไม่ใช่ความคิดที่ถูกเสียทีเดียว
ตลาด Forex มักมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งภายใต้สถานการณ์หนึ่ง ๆ ซึ่งรูปแบบการเคลื่อนไหวนี้มักจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ หมายความว่ารูปแบบราคานั้น ๆ จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกได้นั่นเอง อินดิเคเตอร์ Forex ที่ดีจะพยายามจดจำรูปแบบราคาดังกล่าวและสามารถระบุรูปแบบราคาดังกล่าวได้ทันที ซึ่งความสามารถดังกล่าวนี้เองที่จะทำให้คุณถือไพ่เหนือคนอื่น ๆ อย่าลืมเลือกใช้โปรแกรมเทรดที่มีฟีเจอร์การใช้งานครบพร้อมอย่างเช่น MetaTrader 5 (MT5) เพื่อสร้างโอกาสในการทำกำไรจากการเทรดให้มากยิ่งขึ้น
คุณจะได้เรียนรู้
อินดิเคเตอร์ Forex และ CFD ตัวไหนที่ดีที่สุด
อินดิเคเตอร์ Forex สำหรับการเทรดคู่สกุลเงินที่ดีที่สุดก็คือตัวที่เหมาะกับสไตล์การเทรดและกลยุทธ์การเทรดของคุณมากที่สุดนั่นเอง แต่ไม่มีอินดิเคเตอร์ Forex ตัวไหนเพียงตัวเดียวหรอกที่จะเหมาะกับการใช้เทรดได้ทุกสไตล์การเทรด ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือมีอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคสำหรับการเทรด Forex ให้เลือกใช้อยู่มากมายหลายตัวเลยทีเดียว คุณจะสามารถหาอินดิเคเตอร์ที่เหมาะกับการเทรดของคุณมากที่สุดได้อย่างแน่นอน โดยอาศัยเวลาและประสบการณ์
อินดิเคเตอร์ Forex ที่เหมาะกับการใช้ตามเทรนด์ตลาด
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้าว่ามีอินดิเคเตอร์ Forex หลายตัวทีเดียวที่สามารถเข้าชิงเป็นอินดิเคเตอร์ Forex ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และบางตัวก็ยังมีความซับซ้อนด้วย อย่างเช่น อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคบน Forex ซึ่งใช้วัดหรือระบุ 'ราคาเปิด'(open price), 'ราคาสูงสุด' (high), 'ราคาต่ำสุด' (low), 'ราคาปิด' (closing price) และ 'ปริมาณ' (volume) จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณถึงควรเริ่มจากการใช้อินดิเคเตอร์ Forex ที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนก่อน ลองมาทำความรู้จักอินดิเคเตอร์ Forex ประเภทต่าง ๆ บางประเภทกันสักนิด
Simple Moving Average (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย)
Simple Moving Average (SMA) คือราคาเฉลี่ยในช่วงกรอบระยะเวลาหนึ่ง ในที่นี้ค่าเฉลี่ยของราคานั้นได้มาจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ 20-วัน จะเป็นค่าเฉลี่ยของราคาปิดในช่วงระยะเวลา 20 วันนั่นเอง
ทำไมต้องใช้ SMA
SMA ถูกนำมาใช้เพื่อหาค่าเฉลี่ยการเคลื่อนไหวของราคาซึ่งจะทำให้สามารถระบุเทรนด์ได้แม่นยำขึ้น โปรดทราบว่า SMA เป็นอินดิเคเตอร์ที่ค่อนข้างช้า โดยมันจะทำการประมวลผลข้อมูลราคาในอดีตและจะส่งสัญญาณหลังจากที่เริ่มเกิดเทรนด์ไปแล้ว ยิ่ง SMA มีกรอบระยะเวลาของข้อมูลในการประมวลผลยาวนานเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใช้เวลาในการประมวลผลนานขึ้นเท่านั้น และยังแสดงปฏิกิริยาหรือส่งสัญญาณต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดช้าลงด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม SMA ถึงไม่ใช่อินดิเคเตอร์ Forex ที่ดีที่สุดสำหรับใช้แจ้งเตือนการเปลี่ยนแปลงหรือความเคลื่อนไหวของตลาดในขั้นสูง
แต่อินดิเคเตอร์ตัวนี้ก็ยังมีข้อดีอยู่เหมือนกัน เพราะมันเป็นอินดิเคเตอร์ Forex ที่สามารถระบุเทรนด์ได้แม่นยำที่สุด โดยจะทำการประมวลผลด้วยการคำนวณจากข้อมูลมากกว่า 1 ชุด ได้แก่ ข้อมูลชุดหนึ่ง (หรือมากกว่านั้น) ที่มีกรอบระยะเวลาสั้นกว่า กับข้อมูลอีกชุดหนึ่งที่มีกรอบระยะเวลายาวกว่า ค่าของ SMA ที่มีกรอบระยะเวลาสั้นที่ใช้กันทั่วไปจะเป็น 10, 15 หรือ 20-วัน ส่วนค่าของ SMA ที่มีกรอบระยะเวลานานที่ใช้กันทั่วไปจะเป็น 50, 100 หรือ 200-วัน
ทีนี้คุณอาจจะกำลังนึกสงสัยว่าแล้วเมื่อไหร่อินดิเคเตอร์นี้ถึงจะส่งสัญญาณแจ้งการเกิดเทรนด์ละ
อินดิเคเตอร์ Forex ตัวนี้จะส่งสัญญาณ Forex แจ้งการเกิดเทรนด์ใหม่ก็ต่อเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในกรอบระยะเวลานานตัดกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในกรอบระยะเวลาสั้น ถ้าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในกรอบระยะเวลานานเคลื่อนขึ้นไปเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในกรอบระยะเวลาสั้น อาจเป็นสัญญาณการเกิดเทรนด์ขาขึ้น (uptrend) แต่ถ้าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในกรอบระยะเวลานานเคลื่อนลงไปต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในกรอบระยะเวลาสั้น ก็อาจเป็นสัญญาณการเกิดเทรนด์ขาลง (downtrend) คุณสามารถทดสอบการใช้อินดิเคเตอร์นี้ด้วยการใช้กรอบระยะเวลาต่าง ๆ กันไปเพื่อดูว่าแบบไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด
Exponential Moving Average (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล)
Exponential Moving Average ก็มีความคล้ายกับ Simple Moving Average แต่จะไปโฟกัสที่ราคาล่าสุดมากกว่า หมายความว่าเส้น Exponential Moving Average (EMA) จะส่งสัญญาณแจ้งเทรนด์ได้เร็วกว่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของราคา ค่า Exponential Moving Average (EMA) ในกรอบระยะเวลาสั้นที่ใช้กันทั่วไปจะเป็น 50-วัน หรือ 200-วัน ส่วนค่า EMA ในกรอบระยะเวลานานที่ใช้กันโดยทั่วไปจะเป็น 12-วัน และ 26-วัน
วิธีที่ง่ายที่สุดในการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้งสองแบบก็คือทำการเทรดเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้งสองชนิดเคลื่อนที่มาตัดกัน โดยเปิดคำสั่งซื้อเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MA) ในกรอบระยะเวลาสั้นกว่าเคลื่อนที่มาตัดกันเหนือเส้น MA ในกรอบระยะเวลานานกว่า หรือเปิดคำสั่งขายเมื่อเส้น MA ในกรอบระยะเวลาสั้นกว่าเคลื่อนที่มาตัดกันต่ำกว่าเส้น MA ในกรอบระยะเวลานานกว่า วิธีนี้จะทำให้คุณรู้อยู่ตลอดว่าควรเปิดเทรดด้วยสถานะใด สามารถบอกได้ว่าจะใช้การเทรด long หรือ short สำหรับการเทรดคู่สกุลเงินนั้น ๆ
และคุณจะทำการออกจากเทรดก็เมื่อเส้น MA ในกรอบระยะเวลาสั้นกว่าเคลื่อนที่มาตัดกับเส้น MA ในกรอบระยะเวลานานกว่า ส่วนคำสั่งเทรดต่อไปก็คือเมื่อทิศทางราคาเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับเทรดที่คุณเพิ่งปิดคำสั่งออกมา การทำเช่นนี้จะช่วยให้พอร์ตของคุณมีความสมดุลมากขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากนั่งเฝ้าหน้าจอติดตามราคาตลาดตลอดเวลา นี่อาจไม่ใช่อินดิเคเตอร์ Forex ที่เหมาะกับคุณ
ในกรณีนี้ การเอากรอบระยะเวลาแบบที่สามเข้ามาร่วมใช้ด้วยอาจจะเหมาะกับคุณมากกว่า กลยุทธ์เทคนิคการเทรดด้วยการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 เส้นจะเอาเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MA) แบบที่สามมาใช้ด้วย ซึ่งกรอบระยะเวลาที่นานที่สุดจะทำหน้าที่เป็นตัวค้นหาเทรนด์ (trend filter) เมื่อเส้น MA ในกรอบระยะเวลาสั้นที่สุดเคลื่อนที่มาตัดกับเส้น MA ในกรอบระยะเวลาที่อยู่ตรงกลาง ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเข้าเทรดเสมอไป ตัวค้นหาเทรนด์จะส่งสัญญาณให้เปิดคำสั่งเทรด long ได้เท่านั้นเมื่อเส้น MA สองเส้นในกรอบระยะเวลาสั้นกว่าอยู่เหนือเส้น MA ในกรอบระยะเวลาที่นานที่สุด และคุณจะเปิดคำสั่งเทรด short ได้ก็ต่อเมื่อเส้น MA ทั้งสองเส้นในกรอบระยะเวลาสั้นกว่าอยู่ต่ำกว่าเส้น MA ในกรอบระยะเวลาที่นานที่สุด
เทรดด้วยบัญชีทดลอง
เทรดเดอร์สามารถเทรดได้แบบไร้ความเสี่ยงด้วยบัญชีทดลองเทรด ซึ่งหมายความว่าเทรดเดอร์จะไม่ต้องเอาเงินทุนจริง ๆ ของตนเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อฝึกฝนทักษะการเทรด แถมยังสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนไปเทรดในบัญชีเทรดจริงได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น บัญชีทดลองเทรดของ Admirals จะเปิดให้เทรดเดอร์สามารถเข้าดูข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเทรดได้ด้วยสกุลเงินจำลอง และยังเข้าไปดูข้อคิดเห็นด้านการเทรดจากเทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญอีกด้วย
เปิดบัญชีทดลองเทรดฟรีได้เลยเพียงคลิกที่แบนเนอร์ด้านล่าง
อินดิเคเตอร์ Moving Average Convergence Divergence (MACD)
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นอินดิเคเตอร์ Forex ที่ถูกออกแบบมาเพื่อวัดระดับโมเมนตั้ม
(แรงเหวี่ยงของราคา) ไม่เพียงแต่อินดิเคเตอร์ตัวนี้จะช่วยระบุเทรนด์ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถวัดค่าความแข็งแรงของเทรนด์ได้ด้วย เพื่อให้คุณรู้สึกได้ถึงความแข็งแรงของการเปลี่ยนแปลงราคา อินดิเคเตอร์ตัวนี้น่าจะเป็นตัวที่ดีและเหมาะสมที่สุด การคำนวณค่าที่เบนออกจากกันของเส้น EMA ที่เร็วกว่ากับเส้น EMA ที่ช้ากว่าถือเป็นหลักการทำงานสำคัญของอินดิเคเตอร์ตัวนี้เลย ซึ่งจะยึดข้อมูลจากเส้น EMA สองเส้นบนกราฟราคา
โดยปกติแล้วเส้น MACD จะคำนวณได้โดยลบ EMA 26-วัน ออกจาก EMA 12-วัน จากนั้นเส้น EMA 9-วันจะถูกวางไว้เพื่อทำหน้าที่เป็นเส้นแสดงสัญญาณ เมื่อเส้น MACD ตัดกันต่ำกว่าเส้นแสดงสัญญาณ ถือเป็นการส่งสัญญาณให้ขาย แต่เมื่อตัดกันเหนือเส้นแสดงสัญญาณ ถือเป็นการส่งสัญญาณให้ซื้อ คุณสามารถตั้งค่าพารามิเตอร์ทั้ง 3 ตัว (26, 12 และ 9) ได้ตามต้องการ
ด้วยการทดลองปรับเปลี่ยนเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ จะทำให้คุณหาการตั้งค่าที่เหมาะสมและได้ผลที่สุดสำหรับตนเองได้
เส้น Bollinger Band
ไม่ว่าอินดิเคเตอร์ Forex ตัวไหนก็ตามที่ได้รับการเคลมว่าเป็นอินดิเคเตอร์ Forex ที่ดีที่สุดจะต้องมีช่องทางความผันผวน (volatility channel) รวมอยู่ด้วยทั้งนั้น ช่องทางความผันผวนเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการระบุเทรนด์ โดยใช้หลักการคือถ้าราคาพุ่งขึ้นไปสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่มากในระดับหนึ่ง อาจแสดงว่าเริ่มเกิดเทรนด์ขึ้นแล้ว เส้น Bollinger Band เป็นช่องทางความผันผวนที่ถูกคิดขึ้นมาเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้วโดยนักวิเคราะห์การเงินที่ชื่อ John Bollinger และยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งในอินดิเคเตอร์ Forex ในกลุ่มวิธีเทรดโดยใช้ช่องทางความผันผวนที่ดีที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ Forex
Bollinger band จะใช้พารามิเตอร์ 2 ตัวด้วยกัน ได้แก่
- จำนวนวันสำหรับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
- จำนวนค่าเปลี่ยนแปลงพื้นฐานที่คุณต้องการวางเส้นให้ห่างจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
ค่าเปลี่ยนแปลงพื้นฐานที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดได้แก่ 2 หรือ 2.5 ในทางสถิติ ค่าเปลี่ยนแปลงพื้นฐานจะเป็นตัววัดค่าความแตกต่างของชุดข้อมูลแต่ละชุด ในทางการเงิน ค่าเปลี่ยนแปลงพื้นฐานจะเป็นตัววัดความผันผวน
แล้วหลักการสำคัญคืออะไรกันละ
Bollinger Band จะปรับไปตามความผันผวนของตลาด โดยจะกว้างขึ้นเมื่อความผันผวนสูงขึ้น และจะแคบลงเมื่อความผันผวนต่ำลง ระบบเทรดตามเทรนด์แบบระยะยาวที่ใช้ Bollinger Band อาจใช้ค่าเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน 2 ค่าและเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ 350-วัน คุณอาจเริ่มด้วยการเปิดสถานะ long ถ้าราคาปิดตลาดในวันก่อนหน้าอยู่เหนือจุดสูงสุดของช่องทางความผันผวน และอาจเปิดสถานะ short แทนถ้าราคาปิดตลาดในวันก่อนหน้าอยู่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของช่องทางความผันผวน จุดปิดสถานะจะทำได้เมื่อราคาปิดตลาดในวันก่อนหน้าพลิกกลับทะลุเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ไป
Fibonacci Retracement
อินดิเคเตอร์ Fibonacci Retracement เป็นอินดิเคเตอร์ที่ทำงานโดยยึดหลักที่ว่าหลังจากที่มีการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรุนแรง มีโอกาสสูงที่ตลาดจะพลิกกลับในสัดส่วนหลักอันใดอันหนึ่ง สัดส่วนว่านี้ก็คือชุดตัวเลข Fibonacci (ฟีโบนักชี) นั่นเอง ชุดตัวเลข Fibonacci เป็นชุดตัวเลขที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่เริ่มมาได้รับความนิยมก็ตอนที่นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาเลียนที่ชื่อ Fibonacci ชุดตัวเลขนี้จะเริ่มด้วย 0 และ 1 และตัวเลขต่อไปจะเป็นผลรวมของตัวเลขสองตัวก่อนหน้าในชุดตัวเลข
ตัวอย่างเช่น ชุดตัวเลขเริ่มด้วย – 0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, 144, 233…
สัดส่วน Fibonacci จะมาจากตัวเลขเหล่านี้ โดยสัดส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ 0.618 ตัวเลขนี้ถูกคำนวณโดยเอาตัวเลขหนึ่งในชุดตัวเลข Fibonacci มาหารด้วยตัวเลขถัดไปที่อยู่ในชุดตัวเลขนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ดูจะใกล้เคียงกับ 0.618 ที่สุดเมื่อทำการหารในชุดตัวเลขนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เช่น 89/144 = 0.6181 และ 144/233 = 0.6180
สัดส่วนสำคัญอีกหนึ่งตัวก็คือ 0.382
สัดส่วนนี้เกิดจากการเอาตัวเลขหนึ่งในชุดตัวเลข Fibonacci มาหารด้วยตัวเลขที่ถัดออกไปอีก 2 ลำดับในชุดตัวเลข สัดส่วนที่ได้ดูจะใกล้เคียงกับ 0.382 ที่สุดเมื่อทำการหารในชุดตัวเลขนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เช่น 55/144 = 0.3819 และ 89/233 = 0.3820 ส่วนสัดส่วนสำคัญตัวสุดท้ายก็คือ 0.236 ได้จากการเอาตัวเลขหนึ่งในชุดตัวเลข Fibonacci มาหารด้วยตัวเลขที่ถัดออกไปอีก 3 ลำดับในชุดตัวเลข
สัดส่วนตัวเลขเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร
ทฤษฎีนี้คือหลังจากที่มีการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรุนแรง จะเกิดแนวรับและแนวต้านขึ้นในระดับที่ใกล้เคียงกับสัดส่วนตัวเลขของ Fibonacci ดังนั้นจึงถือได้ว่านี่เป็นอินดิเคเตอร์ชั้นยอดเลยก็ว่าได้ เพราะมันจะสามารถทำนายการเปลี่ยนแปลงของราคาได้ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงราคาขึ้นจริง ๆ ได้ นี่จะไม่เหมือนกับอินดิเคเตอร์ตัวอื่นที่ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ซึ่งจะระบุเทรนด์ได้ก็ต่อเมื่อเกิดเทรนด์ขึ้นแล้วเท่านั้น และยังมีองค์ประกอบอื่นที่ทำให้การทำนายหรือคาดการณ์ของสัดส่วน Fibonacci เป็นจริงด้วย คือ อาจจะมีเทรดเดอร์หลาย ๆ คนเข้าทำการเทรดตามการคาดการณ์ดังกล่าว ซึ่งไปดึงตลาดให้ดำเนินไปในทิศทางนั้น ๆ ในที่สุด
บทสรุป: อินดิเคเตอร์ Forex ที่ดีที่สุด
อินดิเคเตอร์ Forex ที่ดีที่สุดนั้นก็คืออินดิเคเตอร์ที่ใช้ได้ผลดีที่สุดสำหรับคุณนั่นเอง คุณอาจจะเห็นผลได้ดีที่สุดเมื่อใช้อินดิเคเตอร์มากกว่าหนึ่งตัวช่วยในการเทรด โดยเลือกใช้ตัวหลักในการระบุโอกาสทำกำไร และอีกตัวหนึ่งเป็นตัวค้นหาเทรนด์ ตัวค้นหาเทรนด์จะช่วยตัดสินให้ว่าสภาวะตลาดโดยรวมนั้นเหมาะกับการเทรดหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คุณจะเรียนรู้วิธีเทรดด้วยการใช้อินดิเคเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีการฝึกฝนมากพอเท่านั้น
เทรดแบบไร้ความเสี่ยงได้ฟรี ๆ กับ Admirals
ข่าวดีสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพที่เลือกใช้ Admirals คือคุณสามารถเทรดได้แบบไร้ความเสี่ยงโดยสิ้นเชิงด้วยบัญชีทดลองเทรดฟรี แทนที่จะเข้าไปเทรดจริงในตลาดเลยและต้องเอาเงินทุนเข้าไปเสี่ยงจริง ๆ คุณสามารถเลี่ยงความเสี่ยงนี้ได้ แต่ยังสามารถฝึกเทรดได้จนกว่าคุณจะพร้อมที่จะเข้าเทรดจริง เป็นผู้กุมบังเหียนควบคุมประสบการณ์การเทรดด้วยตัวคุณเอง เพียงคลิกที่แบนเนอร์ด้านล่างนี้เพื่อเปิดบัญชีทดลองเทรดฟรีได้เลย
บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ
- วิธีการใช้ iExposure Indicator ในแพลตฟอร์ม MT4
- เคล็ดลับเล่นหุ้นรายวัน พร้อมส่องหุ้น Day Trade ที่น่าจับตามอง!
- การใช้งาน Williams Percent Range สำหรับการเทรด Forex
เกี่ยวกับ Admirals
Admirals เป็นโบรกเกอร์ Forex และ CFD ที่ชนะรางวัลมากมาย อีกทั้งได้รับ ใบอนุญาตและกำกับดูแลจากหลายประเทศทั่วโลก โดยให้บริการซื้อขายตราสารการเงินมากกว่า 8,000 รายการผ่านแพลตฟอร์มเทรดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอย่าง MetaTrader 4 และ MetaTrader 5 เริ่มเทรดเลยวันนี้
คำปฏิเสธข้อเรียกร้อง (Disclaimer): เอกสารนี้ไม่มีและไม่ควรตีความว่ามีคำแนะนำการลงทุน, การให้คำปรึกษาด้านการลงทุน, ข้อเสนอหรือคำชักชวนให้ทำธุรกรรมใด ๆ ในตราสารทางการเงิน โปรดทราบว่า ในกรณีของการวิเคราะห์การซื้อขายใด ๆ ที่อ้างอิงถึงผลการดำเนินงานหรือสถิติในอดีต พฤติกรรมของข้อมูลดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ คุณควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจถึงความเสี่ยงเป็นอย่างดีแล้ว