รู้จัก 5 หุ้นอังกฤษ ที่ดีที่สุดในปี 2024

ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปิดฉากปี 2022 ด้วยการติดลบ แต่หุ้นอังกฤษ (ดัชนีตลาดหุ้น FTSE 100) นั้น กลับปิดตลาดสูงขึ้นจึงเป็นโอกาสที่ดีในการพิจารณาลงทุนหุ้นอังกฤษในปีนี้
และวันนี้เรามีรายการหุ้นอังกฤษที่น่าจับตามองในปีนี้ เพื่อประกอบการพิจารณาในการลงทุนของคุณโดยเฉพาะ
แม้ว่าผลการดำเนินงานในอดีตจะไม่ใช่ข้อบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต และการลงทุนทุกรูปแบบนั้นมีความเสี่ยงซึ่งอาจนำมาทั้งกำไรและการขาดทุน ดังนั้นจึงควรใช้การบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมในกลยุทธ์และการสร้างพอร์ตการลงทุนของคุณ
อยากลงทุนหุ้นอังกฤษต้องอ่าน!
ส่อง 5 หุ้นอังกฤษที่น่าจับตามองในปี 2024
- Rolls Royce Plc (RR)
- HSBC Plc (HSBA)
- BP Plc (BP)
- Vodafone Group Plc (VOD)
- International Consolidated Airlines Group SA (IAG)
วิเคราะห์หุ้นอังกฤษ
มาตรวจสอบหุ้นอังกฤษที่น่าสนใจในปีนี้ เพื่อการเทรดหุ้นอังกฤษหรือลงทุนหุ้นอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมกัน!
1. Rolls Royce Plc
Rolls Royce Holdings Plc (RR) บริษัทการบินและอวกาศของอังกฤษ ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2000 โดยหุ้นพุ่งขึ้นมากกว่า 480% เป็นประวัติการณ์ที่ GBX 444.06 ปี 2014 แต่ต่อมาหุ้น Rolls Royce ก็ตกลงสู่ระดับต่ำสุดที่ GBX 34.60 ในช่วงปลายปี 2020
โดยในช่วงต้นปี 2023 หุ้น Rolls Royce เพิ่มขึ้นประมาณ 215% ทะลุระดับราคาทางจิตวิทยาที่ GBX 100.00 จากการสำรวจของนักวิเคราะห์จาก TipRanks 11 คน ซึ่งราคาหุ้น Rolls Royce ที่คาดการณ์ไว้สูงสุดในช่วง 12 เดือนต่อจากนี้ที่ GBX 148.68 โดยมีเป้าหมายราคาต่ำสุดที่ GBX 70.00
นอกจากนี้การแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงคนใหม่ของ Rolls Royce รวมทั้งการที่จีนเปิดประเทศของในช่วงปลายปี 2022 ก็อาจช่วยเพิ่มการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศ และส่งเสริมในภาคการผลิต โดยเฉพาะเครื่องยนต์ของเครื่องบินได้เป็นอย่างดี
ในรายงานผลประกอบการล่าสุดของ Rolls-Royce ได้เน้นย้ำว่าชั่วโมงบินของเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ยังคงเป็นเพียง 65% ของระดับก่อนเกิดโควิด (ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 36% ต่อปีจนถึงปัจจุบัน) ซึ่งเป็นสัญญาณว่ามีช่องว่างสำหรับให้เติบโตของซัพพลายเออร์เครื่องยนต์อย่าง Rolls Royce
แต่ท่ามกลางความไม่แน่นอนของราคาพลังงาน รวมทั้งวิกฤตค่าครองชีพที่อาจส่งผลกระทบต่อการเดินทางของสายการบิน และปัจจัยบางอย่างที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น Rolls Royce ในปีนี้ จึงควรติดตามข่าวสารของเศรษฐกิจมหภาคที่เกี่ยวข้องกับประเด็นต่างๆ เหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการวิเคราะห์แนวโน้มการเติบโตของราคาหุ้นต่างๆ ได้ดี
2. HSBC Plc
HSBC Holdings Plc (HSBA) ธนาคารข้ามชาติของอังกฤษ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปด้วยสินทรัพย์เกือบ 3 ล้านล้านดอลลาร์ แม้ราคาหุ้นตกลงสู่ระดับต่ำสุดที่ GBX 281.50 ในช่วงที่เกิดโรคระบาด (กันยายน 2020) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ปี 2009
ตั้งแต่นั้นมา ราคาหุ้น HSBC ก็พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งและซื้อขายที่ GBX 516.30 โดยในช่วงต้นปี 2023 ราคาหุ้น HSBC ก็เพิ่มขึ้นมากกว่า 80% จากระดับต่ำสุดในช่วงการระบาด และเพิ่มขึ้นอีก 60% ก่อนที่จะถึงระดับราคาสูงสุดตลอดกาลที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2001 ที่ GBX 953.40
กล่าวได้ว่า อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมักจะช่วยให้หุ้นกลุ่มธนาคารมีผลประกอบการที่ดีกว่า เนื่องจากธนาคารสามารถปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่กู้ยืม ซึ่งจะช่วยเพิ่มส่วนต่างและความสามารถในการทำกำไรได้มากขึ้น
โดยในปีที่แล้ว HSBC รายงานผลกำไรเกือบ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่านี่จะช่วยให้เงินปันผลของ HSBC กลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด จากที่ในปัจจุบันจ่ายเงินปันผลประจำไตรมาสที่ 5.42 GBX ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลประจำปีที่ 3.61%
นอกจากนี้ ยังมีนักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อาจช้าลง ทำให้โมเมนตัมบางส่วนในหุ้นกลุ่มธนาคารชะลอตัวลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และการวิเคราะห์กิจกรรมราคาตามประกาศของธนาคารกลางในปีนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดความเชื่อมั่นและการจัดสรรพอร์ตโฟลิโอจากนักลงทุนรายใหญ่ด้วยเช่นกัน
3. BP Plc
BP หนึ่งในยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานในยุโรปและทั่วโลก จากการที่ราคาหุ้นบริษัทน้ำมันร่วงลงในช่วงที่เกิดโรคระบาดจนลงมาอยู่ที่ระดับต่ำ GBX 188.50 ภายในเดือนตุลาคม 2020 ซึ่งเป็นระดับราคาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่ก่อนปี 2000 ตั้งแต่นั้นมาราคาหุ้น BP ก็เพิ่มขึ้นมากกว่า 150% โดยในช่วงต้นปี 2023 ราคาหุ้น BP ก็ซื้อขายกันที่ประมาณ GBX 474.90
จากการที่บริษัทน้ำมันทั่วโลกได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นในระหว่างการฟื้นตัวของโรคระบาดและสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของยุโรปอย่าง BP และ Shell ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น แต่มูลค่าการซื้อขายของทั้ง 2 บริษัทยังต่ำกว่าคู่ค้าในสหรัฐอย่าง Chevron และ Exxon
กล่าวได้ว่า หุ้นกลุ่มพลังงานในยุโรปปรับตัวขึ้นได้ดีแม้ว่ารัฐบาลจะพยายามดึงกำไรบางส่วนกลับคืนด้วยภาษีลาภลอย (Windfall Tax) เพื่อช่วยในการอุดหนุนและจำกัดราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกำไรนี้ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น เนื่องจากโอกาสในการซื้อหุ้นคืนและการจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
แต่การแทรกแซงของรัฐบาลในการบังคับใช้ภาษีลาภลอยได้นำไปสู่ความคิดเห็นบางอย่างจากบริษัทพลังงานที่อาจส่งผลให้การลงทุนในประเทศนั้นๆ ลดลง และแม้ว่าสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศมากกว่าผลกำไรของบริษัท แต่ก็อาจสร้างความกังวลได้หากการต่อสู้นี้ลุกลามบานปลาย
4. Vodafone Group Plc
Vodafone (VOD) บริษัทโทรคมนาคมข้ามชาติของอังกฤษที่ให้บริการในยุโรป เอเชีย แอฟริกา และโอเชียเนีย โดยในช่วงต้นปี 2023 ราคาหุ้น Vodafone ซื้อขายที่ GBX 84.24 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่ไม่เคยมีมานับตั้งแต่ปี 2002
และจากราคาซื้อขายในระดับราคาต่ำ จึงช่วยให้อัตราเงินปันผลตอบแทนของ Vodafone เพิ่มขึ้นเป็น 8.4% ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์ของ Bank of America เริ่มการให้คะแนนซื้อสำหรับราคาหุ้นที่คาดการณ์การเติบโต 42% เป็นราคา GBX 131.00
นอกจากนี้บริษัทยังมีปัจจัยอื่นที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารที่อาจช่วยฟื้นโชคชะตาในตลาดใหญ่บางแห่ง ซึ่งจะช่วยให้ผลประกอบของบริษัทการเติบโตได้มากขึ้น รวมทั้งการยังลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Vantage Towers และการเจรจาเพื่อขายหุ้นใน Vodacom ของแอฟริกาอีกด้วย
นักลงทุนจึงควรพิจารณาแนวโน้มระยะยาวให้มากขึ้น หรือรอให้อารมณ์และราคาปรับตัวดีขึ้นในช่วงหลายไตรมาสก่อน หากต้องลงทุนในการซื้อขายหุ้นที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
5. International Consolidated Airlines Group SA
IAG (IAG) หุ้นของสายการบินข้ามชาติสัญชาติแองโกล-สเปน ซึ่งดำเนินการสายการบินต่างๆ เช่น British Airways Iberia, Aer Lingus และ Vueling เป็นต้น เช่นเดียวกับหุ้นสายการบินอื่นๆราคาหุ้น IAG ก็ร่วงลงในช่วงที่เกิดโรคระบาด เนื่องจากการเดินทางทางอากาศที่ลดลงและการล็อกดาวน์ทั่วโลก
และการเปิดเศรษฐกิจโลกอีกครั้งได้ช่วยเพิ่มราคาหุ้นสายการบินกับ IAG อีกครั้ง โดยเริ่มต้นปีนี้หุ้น IAG มีการซื้อขายที่ GBX 126.30 เพิ่มขึ้นประมาณ 43% จากระดับต่ำสุดของการแพร่ระบาด ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าการเดินทางทางอากาศจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่จีนกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง ทั้งนี้ ยังมีความไม่แน่นอนของราคาพลังงานและกระแสรายได้ของสายการบิน และการเดินทางเพื่อธุรกิจที่เพิ่มมากขึ้นด้วย
ซึ่งวิกฤตค่าครองชีพอาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยเฉพาะในการเดินทางโดยสายการบิน ในขณะที่หนี้ของ IAG ก็เป็นตัวเลขสำคัญในการติดตามหากอัตราดอกเบี้ยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลงทุนหุ้นอังกฤษอย่างไร ?
หลังจากเลือกหุ้นอังกฤษที่เหมาะกับพอร์ตการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของคุณแล้ว มาเริ่มต้นการลงทุนง่ายๆ ได้ใน 5 ขั้นตอน ดังนี้
- เปิดบัญชีการซื้อขายจริง โดยเลือก Invest.MT5 หรือบัญชีทดลองเทรด
- ฝากเงินเข้าบัญชีจริงหรือใช้เงินเสมือนจากบัญชีทดลองเทรด
- คลิก "Trade" ใน Dashboard เพื่อเปิดใช้งานแพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้นบนเว็บ Admirals
- เลือกจากหุ้นที่ต้องการจากทั่วโลก เพื่อลงทุนหรือวิเคราะห์กราฟหุ้นอังกฤษ หรือสถิติหุ้นอังกฤษเพิ่มเติม
- เริ่มต้นลงทุน!
บัญชี Admirals Invest.MT5 ดียังไง ?
ด้วยบัญชี Admirals Invest.MT5 คุณสามารถลงทุนในหุ้นอังกฤษวันนี้และ ETF (กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน) จากตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุด 15 แห่งทั่วโลก รวมถึงหุ้นอังกฤษ Market หรือกองทุนหุ้นอังกฤษได้ตามต้องการ
- ซื้อหุ้นอังกฤษสบายๆ ด้วยค่าคอมมิชชั่น 0.1% ของมูลค่าการซื้อขายและค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมขั้นต่ำเพียง 1 GBP
- ซื้อหุ้นสหรัฐฯ ด้วยค่าคอมมิชชั่น 0.02 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้น ด้วยค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมขั้นต่ำเพียง 1 USD
- รับเงินปันผลจากการจ่ายเงินปันผลจากบริษัทที่จ่ายปันผล
คำถามที่พบบ่อยในการซื้อหุ้นอังกฤษ
10 หุ้นน่าซื้อมีอะไรบ้าง ?
หุ้น 10 อันดับแรกที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด ณ วันที่เขียน ได้แก่ Sainsbury (J), Lloyds Banking Group, Rolls Royce Holdings, BP, Vodafone Group, Glencore, HSBC Holdings, International Consolidated Airlines Group SA, Barclays และ Tesco
หุ้นอังกฤษดูยังไง คุ้มค่าน่าลงทุนแค่ไหน ?
ในปี 2022 ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดตัวลดลง แต่หุ้นอังกฤษ FTSE 100 ของหุ้นอังกฤษ Market watch ก็สามารถปิดสูงขึ้น และหุ้นอังกฤษก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน GBP ราคาพลังงาน รวมทั้งอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะมีความสำคัญต่อการติดตามในอนาคต
ข้อมูลเกี่ยวกับบทความ/สื่อที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์:
บทความหรือสื่อที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทั้งหมด ทั้งการประมาณการ การคาดการณ์ การทบทวนตลาด มุมมองรายสัปดาห์ หรือการประเมินหรือข้อมูลอื่นที่คล้ายคลึงกัน (ต่อไปนี้เรียกว่า "การวิเคราะห์") ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของบริษัทการลงทุนของ Admirals ที่ดำเนินการภายใต้เครื่องหมายการค้า Admirals (ต่อไปนี้จะเรียกว่า "Admirals") โปรดทำความเข้าใจในข้อมูลเหล่านี้ ก่อนตัดสินใจลงทุน
- บทความนี้คือการสื่อสารการตลาด โดยมีเนื้อหาในการเผยแพร่เพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น
จึงไม่สามารถตีความว่าเป็นคำแนะนำหรือคำแนะนำในการลงทุนได้ อีกทั้งบทความนี้ไม่ได้จัดทำขึ้นตาม
ข้อกำหนดทางกฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมความเป็นอิสระของการวิจัยการลงทุน และไม่อยู่ภายใต้ข้อห้ามใดๆ ในการดำเนินการก่อนการเผยแพร่งานวิจัยด้านการลงทุน - ลูกค้าแต่ละรายทำการตัดสินใจลงทุนทั้งหมดด้วยตนเอง โดย Admirals จะไม่รับผิดชอบต่อ
ความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจดังกล่าว ไม่ว่าจะอิงจากเนื้อหาหรือไม่ก็ตาม - Admirals ได้กำหนดขั้นตอนภายในที่เกี่ยวข้องสำหรับการป้องกันและการจัดการความขัดแย้ง
ทางผลประโยชน์ ด้วยมุมมองที่จะปกป้องผลประโยชน์ของลูกค้าและการวิเคราะห์ข้อมูล - บทความวิเคราะห์นี้ จัดทำโดยนักวิเคราะห์อิสระ Jitan Solanki ผู้ร่วมให้ข้อมูลอิสระ (ต่อไปนี้เรียกว่า
"ผู้เขียน") ตามการประเมินส่วนบุคคล - เราพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้แหล่งที่มาของเนื้อหาทั้งหมดเชื่อถือได้และข้อมูลทั้งหมดที่ถูกนำเสนอนี้เข้าใจง่าย ทันเวลา แม่นยำ และครบถ้วนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งนี้ Admirals จะไม่รับประกันความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ข้อมูลที่มีอยู่ในการวิเคราะห์
- ไม่ควรตีความว่าผลการดำเนินงานของเครื่องมือทางการเงินในอดีตหรือแบบจำลองใดๆ ที่ระบุในเนื้อหาว่า
เป็นคำแนะนำโดยชัดแจ้ง โดยปริยาย หรือโดยนัย จาก Admirals สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต มูลค่าของเครื่องมือทางการเงินอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลง และไม่รับประกันการรักษามูลค่าของสินทรัพย์ - ผลิตภัณฑ์ที่มีเลเวอเรจ (รวมถึงสัญญาสำหรับส่วนต่าง; CFD) เป็นการเก็งกำไรและอาจส่งผลให้เกิดการขาดทุนหรือกำไร โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เข้าใจถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ก่อนตัดสินใจลงทุน